การทำรากฟันเทียม
:: การทำรากฟันใหม่เพื่อความแข็งแรงกว่า
คือ การทำฟันปลอมที่ใกล้เคียงฟันธรรมชาติที่สุดในเวลานี้ นวัตกรรมนี้เกิดขึ้นจากการ
ค้นพบโดยบังเอิญว่าโลหะชนิดไทเทเนียมสามารถทำให้เกิดการเชื่อมติดกับกระดูกได้ ในระดับเซลล์ (Osseointegration) ไม่ใช่เพียงแค่ยึดแน่นจากเกลียวที่ขันเข้าไป (Mechanical lock) ซึ่งทำให้สามารถทดแทนฟันธรรมชาติที่หายไปได้ทั้งความสวยงาม และการใช้งาน โดยแรงที่ลงไปบนรากเทียมได้ส่งผ่านไปถึงตัวกระดูกขากรรไกรโดยตรง ซึ่งฟันปลอมชนิดอื่นไม่สามารถทำได้ (ฟันปลอมชนิดอื่นต้องอาศัยเหงือกหรือฟันข้างเคียงเป็นตัวรับแรง) ข้อห้ามของการทำรากเทียม หรือความเสี่ยงที่ทำให้อัตราความสำเร็จของรากเทียมลดลง
|
:: ขั้นตอนการทำรากเทียม
จะแบ่งการรักษาเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ การรักษาขั้นตอนแรกจะเป็นงานของศัลยกรรมเป็นหลัก ซึ่งมีความสำคัญมากใน การใส่ตัวรากเทียมให้ตรงกับตำแหน่งที่ต้องการ เพื่อให้เกิดความสวยงามสูงสุด อีกทั้งแนวแกนควรจะต้องทำมุมให้ใกล้เคียง กับแนวแรงของการบดเคี้ยว กรณีที่กระดูกรองรับฟันไม่พอเพียงที่จะใส่รากเทียมอาจจะต้องทำการปลูกกระดูกร่วมด้วย ในขั้นตอนนี้ การรักษาในขั้นตอนที่สองจะเป็นงานของทันตกรรมประดิษฐ์เป็นหลัก โดยจะต่อส่วนของแกนฟัน (Abutment) และครอบฟัน (Crown)ขึ้นมา ซึ่งจะได้ทั้งความสวยงามและการใช้งาน |
:: ประเภทของรากเทียม
1. การทำรากเทียมแบบตัวเดียว เป็นการทำที่ใช้ทดแทนฟันที่หายไปซี่ต่อซี่ โดยไม่ต้องไปกรอฟันซี่อื่นเพิ่ม |
2. การทำรากเทียมแบบใส่ฟันหลายซี่ เป็นการทำที่ใช้รากเทียมมากกว่าหนึ่งซี่ใช้เป็นหลักยึด
แล้วส่วนบนทำการเชื่อมเป็นสะพานเพื่อให้ทดแทนฟันที่ี่หายไปได้หลายซี่โดยใช้รากเทียมน้อยตัว |
3. การทำรากเทียมร่วมกับฟันปลอมทั้งปากแบบถอดได้ เป็นการทำรากเทียมเพื่อช่วยในการยึดฟันปลอมถอดได้เป็นหลัก โดยรับแรงได้แค่บางส่วน เหมาะกับผู้ป่วยที่ |
ฟันปลอมหลวมจากการที่สันเหงือกเตี้ย ช่วยทำให้ฟันปลอมอยู่นิ่งขึ้น ไม่ค่อยหมุนหรือสะบัดไปทำให้เกิดแผล
ผลที่ได้รับจากการทำรากเทียม
|
ทำไมต้องปลูกกระดูกร่วมกับการทำรากเทียม?
1. ฟันที่ถูกถอนไปนาน ทำให้กระดูกมีการยุบตัว |
2. เพื่อให้สามารถใส่รากเทียมขนาดที่ต้องการได้ โดยไม่ทำลายอวัยวะที่สำคัญเช่น เส้นเลือด เส้นประสาท |
3. เพราะมีการห้อยต่ำของโพรงฐานจมูก(Sinus) |
4. เพื่อให้ได้ความสวยงามใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด โดยเฉพาะฟันหน้า
|